สายวัดหรือโพรบ เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ร่วมกับออสซิลโลสโคป
เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ใช้นำสัญญาณจากภายนอกเข้าสู่ออสซิลโลสโคปในช่องรับสัญญาณอินพุต(Input)
แนวตั้งของออสซิลโลสโคป ดังนั้น
ในการตอโพรบเขากับวงจรจึงจําเปนที่จะตองทําใหโพรบสงผลกระทบตอการทํางานของวงจรนอยที่สุดเพื่อที่จะไดสัญญาณที่ทําการวัดมานั้นใกลเคียงกับความเปนจริงมากที่สุด
ซึ่งบทนี้จะแสดงให้เห็นจุดเด่นและจุดด้อยของโพรบ และวิธีเลือกใช้แบบถูกต้อง
ภาพที่ 1 โพรบจะประกอบดวยหัวตอ, สายเคเบิลและจุดปรับชดเชยสัญญาณ
โพรบจะมีลักษณะเปนสายเคเบิล 2 สาย ที่ใชเชื่อมตอกับจุดทดสอบ ดังภาพที่ 1
ซึ่งความยาวของสายเคเบิลของโพรบจะมีผลกระทบตอ
Bandwidth
(ชวงความถี่ของวงจรหรือเครือขายที่สัญญาณสามารถสงผานไดซึ่งจะอยูในชวงของ
3 dB (ดังภาพที่ 4) ) ของโพรบเองดวย
นั่นคือถาสายเคเบิลมีความยาวมากก็จะทําให
Bandwidth
ของโพรบมีคาลดลงตามไปดวย และทางดานปลายสายเคเบิลจะเปนสวนหัววัดสัญญาณของโพรบหรือหัวจับ
โดยทั่วไปจะมีลักษณะเปนสปริงตะขอเกี่ยวใชในการตอกับจุดทดสอบหรือจุดวัดสัญญาณ
โดยที่ความสามารถในการเชื่อมตอทั้ง 3 ประการคือ สวนที่ใชยึดกับจุดทดสอบ, การสงผลกระทบตอการทํางานของวงจร และการสงผานสัญญาณ จะเปนปจจัยหลักในการเลือกใชงานโพรบอยางไรก็ตามในการใชงานจริงจะเปนการยากมากที่จะตอโพรบกับจุดทดสอบแลวสามารถทําการวัดสัญญาณไดโดยไมมีความผิดเพี้ยนเลย
โพรบในทางอุดมคติจะตองมีลักษณะดังนี้
- สามารถตอใชงานไดงายและสะดวก
- สามารถวัดสัญญาณไดไมผิดเพี้ยน
- ไมมีปญหาเรื่อง loading (– กระบวนการที่โหลดดึงกระแสไฟฟามาจากแหลงจาย) กับแหลงจายสัญญาณ
- ปราศจากสัญญาณรบกวน
(a) High Voltage Probe
(b) Current Probe
ภาพที่ 2
ตัวอยางของโพรบชนิดตางๆซึ่งขึ้นอยูกับการใชงานและสัญญาณที่ตองการวัด
ที่มา :
(a) http://cdn2.globalmediapro.com/att/a/0/3/i/a03iv5/s3b3.jpg
(b) http://img.directindustry.com/images_di/photo-mg/clamp-current-probes-7140-2710533.jpg
โพรบในการใชงานจริง
ในขั้นแรก
สิ่งที่สําคัญสําหรับโพรบก็คือภายในสายเคเบิลของโพรบจะประกอบไปดวยวงจรที่มีความซับซอน
สําหรับสัญญาณไฟตรง ( DC ความถี่ 0 Hz)
สายโพรบจะมีลักษณะเหมือนเปนคาความตานทานที่ตออนุกรมกับคาความตานทานที่ขั้วตอของออสซิลโลสโคป
(ดังภาพที่ 3a) อยางไรก็ตามในสัญญาณไฟสลับลักษณะภายในของสายโพรบจะเปลี่ยนรูปไปเมื่อคาความถี่เพิ่มขึ้น
(ดังภาพที่ 3b)
เนื่องมาจากการที่มีคาความเหนี่ยวนํา (L) และคาความจุ
(C) กระจายอยูทั่วไปภายในของสายโดยที่คาอิมพีแดนซของความเหนี่ยวนําจะมีคาเพิ่มขึ้นเมื่อความถี่ของสัญญาณมีคาเพิ่มขึ้น
ในขณะที่คาอิมพีแดนซของคาความจุจะลดลง
และจากปฏิกิริยาของทั้ง 2 ตัว (L และ C) รวมทั้งคาความตานทาน (R) จะทําใหคาอิมพีแดนซรวมของโพรบเปลี่ยนแปลงไปตามคาความถี่
และก็ถือเปนขอดีของโพรบอีกเชนกันที่มีสวนประกอบ R,L,C
อยูดวยเพราะทําใหสามารถควบคุมลักษณะของสัญญาณที่จะวัดไดตามตองการ
เชน การลดทอนสัญญาณ และปญหาในเรื่อง loading ของแหลงกําเนิดสัญญาณ
ซึ่งเปนสิ่งที่ดีในการออกแบบเพราะเปนขอจํากัดตามธรรมชาติของวงจรภายในโพรบเอง
และเปนสิ่งสําคัญที่จะตองทราบในการเลือกและใชงานโพรบ
ภาพที่ 3 วงจรภายในของโพรบซึ่งมีการกระจายตัวของคาความตานทาน, คาความเหนี่ยวและคาความจุ (R,L,C)
ขอจํากัดทางดาน
Bandwidth
และ rise-time
Bandwidth
คือยานของความถี่ที่ใชในการออกแบบการทํางานของออสซิลโลสโคปหรือโพรบชนิดตางๆ
ตัวอยางเชน โพรบหรือออสซิลโลสโคป 100 MHz ก็จะสามารถทําการวัดสัญญาณไดตั้งแต DC จนถึง 100MHz
(ดังภาพที่ 4) โดยทั่วไปเพื่อ
ความเที่ยงตรงของขนาดของสัญญาณที่วัดไดควรจะเลือกออสซิลโลสโคปที่มี Bandwidth
มากกวา 5 เทาของความถี่สัญญาณที่ตองการจะวัด
ซึ่งกฎของคา Bandwidth 5 เทานี้มักจะใชในชวงความถี่สูงๆของสัญญาณที่ไมใชรูปคลื่นไซน
เชน สัญญาณสี่เหลี่ยม เปนตนเชนเดียวกัน
ออสซิลโลสโคปก็ควรที่จะมีคา rise-time ที่เพียงพอตอการวัดสัญญาณดวย
ซึ่งคาrise
time ของสโคปหรือโพรบก็จะเหมือนกับคา rise time ที่ไดมาจากการวัดสัญญาณชวงขอบขาขึ้นของพัลสนั่นเอง
สําหรับคา rise-time ของโพรบหรือสโคปก็จะเหมือนกันคือควรจะเลือกใหมีความเร็วมากกวา
3 ถึง 5 เทาของของสัญญาณพัลสที่จะวัด (ดังภาพที่ 5)
ในกรณีที่ไมตรงตามภาพคุณสามารถคํานวณหาคา
rise
time (Tr) ไดจาก Bandwidth (BW) ดังนี้
Tr = 0.35/BW
ภาพที่ 4 โพรบและออสซิลโลสโคจะถูกออกแบบมาใหวัดสัญญาณไดในยาน Bandwidthที่ระบุเทานั้น
และที่ความถี่เกินจุด 3 dB สัญญาณจะถูกลดทอนไปและทําใหการวัดสัญญาณมีความคลาดเคลื่อน
ภาพที่ 5 ตารางแสดงคาความผิดพลาดของสัญญาณที่วัดกับคา rise-time ซึ่งสโคปหรือโพรบควรจะมีคา
rise-time
เร็วกวา 3เทาของสัญญาณที่ตองการวัด
การ loading ของแหลงกําเนิดสัญญาณ
โดยทั่วไปปญหาใหญในเรื่อง
loading
มักจะเกี่ยวกับคาความจุของโพรบ (ดังภาพที่ 7) ที่ความถี่ต่ำๆ
จะทําใหคารีแอคแตนซของคาความจุนี้มีคาสูงมากๆ ซึ่งจะทําใหมีผลกระทบในเรื่องของ loading
เพียงเล็กนอยเทานั้น แตเมื่อความถี่สูงขึ้นคารีแอกแตนซก็จะลดลงเรื่อยๆ
เปนผลใหผลกระทบในเรื่องของ
loading
จะมีคาสูงขึ้นเมื่อความถี่เพิ่มขึ้น โดยที่ปญหาในเรื่อง loading
ของคาความจุก็จะสงผลกระทบโดยตรงกับลักษณะของ
Bandwitdth
และ rise-time ดวยเชนกัน
ซึ่งในการวัดสัญญาณที่มีปญหาในเรื่อง
loading
จะทําให Bandwitdth จะมีคาลดลง และ rise-time
มีคามากขึ้น ซึ่งเราสามารถที่จะลดปญหาในเรื่อง
loading
ของคาความจุไดโดยการเลือกใชโพรบที่มีคาความจุต่ำๆ ตามตารางดานลาง
และเมื่อนําเอาสายกราวนดไปตอกับวงจรก็จะเกิดการรบกวนที่มาจากคาความเหนี่ยวนําเพิ่มขึ้นมา(ดังภาพที่
8)
คาความเหนี่ยวนํานี้ก็จะมีปฎิกิริยารวมกับคาความจุของโพรบทําใหเกิดเปนสัญญาณ
ringing(เปนสัญญาณออสซิเลตที่เกิดขึ้นเมื่อวงจรเกิดการเรโซแนนซ โดยปกติจะมีลักษณะเปนรูปคลื่นไซนที่มีขนาดคอยๆ
ลดลง ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ยอดของสัญญาณพัลส) ซึ่งคาความถี่ที่ทําใหเกิดสัญญาณ
ringing จะขึ้นอยูกับคาของ
L
และ C โดยที่สัญญาณ ringing นี้จะไมสามารถหลีกเลี่ยงไดและอาจจะเห็นเปนรูปคลื่นไซนที่มีขนาดคอยๆลดลงอยูบนยอดของสัญญาณพัลส
ซึ่งเราสามารถลดผลกระทบของสัญญาณ ringing ไดโดยการออกแบบระบบกราวนดของโพรบเพื่อใหความถี่ที่เกิดสัญญาณ
ringing อยูในชวงของ Bandwidth ที่จํากัดของโพรบหรือออสซิลโลสโคป
และก็ควรที่จะเลือกใชโพรบที่มีความยาวของสายกราวนดสั้นๆ
ภาพที่ 7 สําหรับสัญญาณไฟฟากระแสสลับ โพรบจะมีคาความจุ (Cp) คาสูงมากรวมอยูดวยซึ่งที่ความถี่สูงจะทําใหคา Xc ลดลง เปนผลใหกระแสสวนใหญไหลเขาไปที่ตัวเก็บประจุแทน
ภาพที่ 8 สายกราวนดของโพรบจะเสมือนมีคาความเหนี่ยวนําอยูภายใน
คําแนะนําในการใชโพรบ
การเลือกโพรบใหเหมาะกับออสซิลโลสโคปและการใชงานแบบตางๆนั้นมีความจําเปนอยางยิ่งสําหรับการวัดสัญญาณ
ซึ่งความจริงแลวการจะวัดสัญญาณและไดผลลัพธออกมาอยางไรนั้นขึ้นอยูกับวิธีการใชเครื่องมือของแตละคน
ดังนั้นจึงตองมีขอแนะนําในการใชโพรบเพื่อเปนการหลีกเลี่ยงการวัดสัญญาณที่ผิดพลาดดังตอไปนี้
การปรับ Compensate ของโพรบ
โพรบสวนมากจะถูกออกแบบมาใหเหมาะสมกับอินพุตของออสซิลโลสโคปที่ระบุเทานั้น
อยางไรก็ตามอาจเกิดความผิดเพี้ยนขึ้นไดเมื่อมีการเปลี่ยนออสซิลโลสโคปจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งหรืออาจเกิดจากความแตกตางกันของชองสัญญาณอินพุตในออสซิลโลสโคปเครื่องเดียวกัน
สิ่งที่จําเปนตองทําคือเมื่อเปลี่ยนการใชงานของโพรบที่มีอัตราการลดทอนสัญญาณ (
โพรบแบบ 10X
และ 100X ) จะตองทําการปรับ Compensate
เพื่อชดเชยสัญญาณภายในของโพรบกับชองสัญญาณอินพุตของออสซิลโลสโคปที่จะใชงานดวย
ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
- ตอโพรบเขากับอินพุตของออสซิลโลสโคป
- นําหัววัดสัญญาณของโพรบตอเขาที่จุดทดสอบการชดเชยสัญญาณที่ดานหนาของออสซิลโลสโคป (ดัภาพที่9)
- นําเครื่องมือที่ใชในการปรับ Compensate ที่มาพรอมกับโพรบหรือเครื่องลักษณะเดียวกันที่ไมมีคุณสมบัติเปนแมเหล็ก ทําการปรับที่วงจร Compensate ของโพรบจนไดรูปสัญญาณแสดงบนหนาจอที่มีความราบเรียบไมเปน Overshoot หรือ Undershoot (ดังภาพที่ 10)
- ถาออสซิลโลสโคปมีโปรแกรมการปรับ Compensate ภายในเครื่องแบบอัตโนมัติ ก็ควรจะนํามาใชงานเนื่องจากจะทําใหมีความเที่ยงตรงมากขึ้น
โดยถาไมทําการปรับ Compensate
เพื่อชดเชยความผิดพลาดของสัญญาณของโพรบอาจจะทําใหในการนําโพรบไปวัดสัญญาณจริงๆจะเกิดความผิดพลาดขึ้นได
โดยเฉพาะการวัดสัญญาณพัลสที่เปน rise-time
หรือ fall-time และเพื่อเปนการหลีกเลี่ยงจากความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นควรจะทําการปรับ Compensate
เพื่อชดเชยความผิดพลาดของสัญญาณของโพรบกับออสซิลโลสโคปทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนการใชงานโพรบ
ภาพที่ 9 การปรับ Compensate เพื่อชดเชยความผิดพลาดของสัญญาณของโพรบ
โดยทําการหมุนที่จุดตอของโพรบซึ่งจะตองนําโพรบไปวัดสัญญาณอางอิงที่ดานหนาตัวเครื่องของออสซิลโลสโคป
ภาพที่ 10 ตัวอยางของผลที่ไดจากการปรับชดเชยสัญญาณกับสัญญาณสี่เหลี่ยม
ใชหัววัดสัญญาณของโพรบใหเหมาะสมกับงาน
ควรจะใชหัววัดสัญญาณของโพรบใหเหมาะสมกับวงจรที่ตองการวัดสัญญาณ
คือสามารถตอวัดไดเร็ว , สะดวก , เหมาะสมกับลักษณะของสัญญาณ และมีความคงทนถาวร แตโดยทั่วไปมักจะมีการนําเอาสายไฟมาใชในการวัดสัญญาณแทนหัววัดสัญญาณของโพรบซึ่งการนําเอาสายไฟที่มีความยาว
1 หรือ 2 นิ้วมาตอที่ปลายของโพรบนั้นอาจจะทําใหเกิดปญหาขึ้นได
คืออิมพีแดนซของโพรบจะเปลี่ยนแปลงไปเมื่อความถี่สูงขึ้น ดังภาพที่ 11 เมื่อรูป a คือสัญญาณที่ทําการวัดโดยใชหัววัดสัญญาณของโพรบโดยตรง
และ b คือการวัดโดยใชสายไฟมาตอที่ปลายโพรบแทนการใชหัววัดสัญญาณของโพรบ
ภาพที่
11 การใชสายไฟมาตอกับหัวตอของโพรบทําใหการวัดสัญญาณมีการคลาดเคลื่อนดังภาพคาของ
rise-time จะเพิ่มขึ้นจาก 4.74 ns ในรูป a เปน 5.97 ns ในรูป b
ใชสายกราวนดที่มีขนาดสั้นและตรงที่สุด
เมื่อตรวจสอบการทํางานของโพรบโดยใชจุดทดสอบที่เปนสัญญาณพัลสควรจะเลือกใชสายโพรบที่มีความยาวของสายกราวนดใหสั้นที่สุด
เพื่อปองกันไมใหเกิดสัญญาณ ringing ที่มาจากคาความเหนี่ยวนําที่เพิ่มขึ้นตามความยาวของสายกราวนด ดังภาพที่ 12 ซึ่งจะเปนรูปสัญญาณที่ทําการวัดโดยใชสายโพรบที่มีความยาวของสายกราวนดปกติและโพรบที่มีความยาวของสายกราวนดเพิ่มขึ้น
ภาพที่
12 สายกราวนดของโพรบที่ยาวเกินไปจะทําใหเกิดสัญญาณ
ringing บนยอดของพัลส
ลักษณะและขอดีของโพรบแตละชนิด
Passive Voltage Probe
โดย Passive probe จะประกอบขึ้นจากสายไฟ,คอนเน็คเตอรและวงจรลดทอนสัญญาณ (จะเปนตัวตานทานและตัวเก็บประจุ)
โดยจะไมมีอุปกรณประเภท active (ทรานซิสเตอรหรือวงจรขยายสัญญาณ)
อยูภายในโพรบและไมตองการแหลงจายไฟในการทํางานของโพรบ ซึ่งโพรบชนิดนี้สามารถใชงานไดงายและเปนที่นิยมใชกันโดยทั่วไป
โพรบแบบนี้จะมีอัตราการลดทอนสัญญาณใหเลือกใชมากมาย เชน 1X , 10X และ 100X สําหรับยานการวัดที่ตางกัน และมักจะนิยมใชโพรบแบบ
10X เปนอุปกรณมาตรฐานสําหรับออสซิลโลสโคป
สําหรับการวัดสัญญาณที่มีคา 1 Vp-p หรือต่ำกวาจะนิยมใชโพรบแบบ 1X เมื่อทําการวัดสัญญาณที่มียานแรงดันกวาง
(10 mV ถึง 10 V ) ก็ควรจะใชโพรบแบบที่มีสวิตทเลือก
1X/10X จะสะดวกมากกวา อยางไรก็ตามโพรบแบบที่มีสวิตทเลือก 1X/10X
จะไมไดแตกตางกันเฉพาะที่อัตราการลดทอนเทานั้น แตลักษณะของ Bandwidth
, rise-time และอิมพีแดนซ ( R และ C) ก็แตกตางกันดวยเชนกัน Passive Voltage Probe โดยสวนมากจะถูกออกแบบมาใหใชกับออสซิลโลสโคปทั่วๆไป
ซึ่ง Bandwidth ปกติมักจะอยูในชวง 100 MHz ถึง 500 MHz และสําหรับโพรบที่มีคาอิมพีแดนซ 50Ω
ซึ่งโดยปกติจะใชกับอุปกรณที่มีความเร็วสูง เชน การสื่อสารโดยใชคลื่นไมโครเวฟ
และ Time Domain Reflectometry (TDR) (เทคนิคการวัดสัญญาณพัลสความเร็วสูงที่สงออกไปในสายสงสัญญาณและทําการวิเคราะหพัลสที่สะทอนกลับมาเพื่อหาตําแหนงและชนิดของความ
ไมสม่ำเสมอในการสงสัญญาณ) เปนตน และสามารถใชไดกับงานที่มี
Bandwidth สูงถึงหลายๆ gigaHertz และ rise-time
ประมาณ 100 ps หรือเร็วกวานั้น
ภาพที่ 13 แบบจำลองวงจรภายในของ Passive Voltage
Probe แบบลดทอนสัญญาณ
ภาพที่ 14 ตัวอย่าง Passive Voltage Probe ของ Tektronix P6053B
Active Voltage Probe
โดย Active probe จะประกอบดวยอุปกรณประเภท active
เชน ทรานซิสเตอร ซึ่งมักจะใชเปน Field-Effect Transistor
(FET) ขอดีของการใช FET เปนภาคอินพุตก็คือมีคาความจุที่
อินพุตต่ำมากๆ โดยปกติจะมีคานอยกวา 1 pF โดยที่คาความจุที่ต่ำนี้จะทําใหไดคารีแอคแตนซ
(Xc) ที่สูงมาก สามารถดูไดจากสมการ
โดยที่คารีแอคแตนซจะเปนตัวกําหนดคาอินพุตอิมพีแดนซของโพรบ
เมื่อคา C ต่ำทําใหอินพุต
อิมพีแดนซมีคาสูง
เปนผลใหยานของความถี่กวางมากขึ้น นั่นคือ Active probe ที่ใช FET จะมี Bandwidth สูงมากคือตั้งแต
500 MHz ถึง 4 GHz นอกเหนือจากที่มีคา
Bandwidth และอินพุตอิมพีแดนซที่สูงแลว เมื่อนํา Active
probe ที่ใช FET ไปตอกับวงจรที่ไมทราบคาอิมพีแดนซก็สามารถลดปญหาในเรื่อง
loading effect ลงได สําหรับขอดีตางๆที่ไดกลาวมานั้นจึงมีคําถามวาทําไมยังคงใช
Passive probe อยูอีก ? คําตอบก็คือ Active
probe ที่ใช FET จะมียานการทนแรงดันที่ต่ำกวา
Passive probe คือตั้งแต 0.6 V ถึง 10
V เทานั้นและมีอัตราการทนแรงดันสูงสุด 40 V (DC + คาสูงสุดของ AC) หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ Active
probe ที่ใช FET ไมสามารถที่จะวัดสัญญาณ 10
mV ไดเหมือนกับ Passive probe และยังทนคาแรงดันสูงๆไมไดอีกดวย
แตขอดีของ Active probe ที่ใช FET ยังคงมี Bandwidth ที่สูงและชวงการวัดแรงดันเปนที่แบบเชิงเสน
ดังนั้น Active probe ที่ใช FET จึงเปนที่นิยมใชในงานที่มีระดับสัญญาณต่ำๆ
ประกอบดวยสัญญาณลอจิกความเร็วสูง เชน ECL , GaAs และอื่นๆ
ภาพที่ 16 ตัวอย่าง Active Voltage Probe ของ Tektronix
P7240
ที่มา :
http://www.tek.com/sites/tek.com/files/media/image/P7240-4-GHz-Active-Probe Datasheet-944851-1-L.jpg
ภาพที่ 17 แบบจำลองวงจรภายในของ Active Voltage Probe
ภาพที่ 18 การใช้ Active probe ในการวัดแรงดันไฟฟ้าของไอซีขนาดเล็ก
Differential Probe
สัญญาณแบบ Differential เปนสัญญาณที่มีระดับอางอิงที่ไมใชกราวนด ดังภาพที่ 19 เปนสัญญาณที่จะนําไปใชงานตอไปซึ่งอยูระหวางขาคอลเลคเตอรของทรานซิสเตอรกับโหลด,
สัญญาณจากหัวอานของดิสก, ระบบไฟฟาหลายเฟส
และอื่นๆ ที่มีลักษณะเปนแบบ floating หรือลอยจากกราวนด สัญญาณแบบ
Differential สามารถทําการวัดได 2 วิธี
จะแสดงดังภาพที่ 20
ภาพที่ 19 ตัวอยางของแหลงกําเนิดสัญญาณแบบ Differential
ภาพที่ 20 การวัดสัญญาณแบบ Differential โดยใชสโคป 2 ชอง รูป (a)
และใช Diferential Probe รูป (b)
และใช Diferential Probe รูป (b)
จากภาพที่ 20a เปนการใชโพรบ
2 เสนทําการวัดสัญญาณแบบ single-ended ซึ่งเปนวิธีที่มักจะใชกันบอยๆ
ในการวัดสัญญาณแบบ Differential(20b) วิธีการวัดคือจะใชออสซิลโลสโคปวัด
2 ชองสัญญาณพรอมกัน โดยโพรบ 2 เสนทําการวัดแบบเทียบกับกราวนด ( single-ended
) และใชฟงกชั่นทางคณิตศาสตรของออสซิลโลสโคปทําการลบสัญญาณทั้ง 2
ซึ่งวิธีนี้จะสามารถวัดสัญญาณที่มีความถี่ต่ำและขนาดของสัญญาณที่วัดจะตองสูงกวาขนาดของสัญญาณรบกวน
ปญหาของการวัดโดยวิธีนี้คือสัญญาณที่มีความเร็วสูงจะทําใหเกิดความผิดพลาดในสวนของเวลาเมื่อทําการวัดความแตกตางของพัลส
อีกอยางหนึ่งก็คือ การวัดแบบ single-ended ไมสามารถที่จะกําจัดสัญญาณรบกวน
common-mode ไดเพียงพอที่ระดับสัญญาณต่ำๆ ซึ่ง Differential
Probe นั้นจะสามารถกําจัดสัญญาณรบกวน common-mode ใหออกจากสัญญาณ Differential ได โดยการทํางานแบบนี้จะเรียกวา
“อัตราสวนการกําจัดสัญญาณ common-mode (common-mode
rejection ratio : CMRR)
สําหรับการวัดโดยใช Differential
Probe นั้นจะใชวงจรขยายความแตกตางซึ่งจะนําสัญญาณ 2 อันมาลบกันแลวไดผลลัพธออกมาเพียงชองสัญญาณเดียวเขาที่ออสซิลโลสโคปโดยตรง
ดังภาพที่ 20b โดยวิธีนี้จะไดคา CMRR ที่สูงมากตลอดยานความถี่ เชน Tektronix P6247
ซึ่จะมี Bandwidth ถึง 1 GHz และมียานของ
CMRR
อยูในชวง 60 dB (1000:1) ที่ 1 MHz ถึง 30 dB (32:1) ที่ 1GHz เปนตน
ภาพที่ 21 ตัวอย่าง Differential Probe ของ Tektronix
P6247
ที่มา : http://www.tek.com/sites/tek.com/files/media/image/P6248-P6247-P6246-Differential-Probe-Datasheet-188562-1-L.jpg
ภาพที่ 22 การใช้ Differential Probe วัดสัญญาณที่มีค่า Bandwidth ที่สูง(13 GHz - 25 GHz)
ภาพที่ 22 การใช้ Differential Probe วัดสัญญาณที่มีค่า Bandwidth ที่สูง(13 GHz - 25 GHz)
High Voltage Probe
เราจะนิยามคําวา “High
Voltage” เอาไววาเปน คาแรงดันที่สูงกวาคาแรงดันสูงสุดที่ยังสามารถทําใหโพรบแบบ passive 10X ทั่วๆไปทํางานได
ซึ่งโดยปกติจะมีคาประมาณ 400 V ถึง 500 V ( DC +
peak AC ) แต High Voltage Probe จะสามารถวัดแรงดันไดสูงถึง
20,000 V ตัวอยางของโพรบชนิดนี้จะแสดงดังภาพที่ 23 ซึ่งในการวัดและใชงาน High Voltage Probe นี้จะตองคํานึงถึงความปลอดภัยเปนสิ่งสําคัญ
โดยที่สายเคเบิลของโพรบชนิดนี้จะคอนขางยาวกวาปกติ คือประมาณ 10 ฟุต เพื่อใหตัวเครื่องของออสซิลโลสโคปอยูหางจากแหลงจายไฟแรงดันสูงนั่นเอง
และสามารถที่จะเพิ่มความยาวเปน 25 ฟุตไดอีกดวย
ภาพที่ 23 ตัวอย่าง High Voltage Probe ของ Tektronix
P6015A ซึ่งสามารถวัดแรงดันไฟตรงไดสูงถึง 20 kV และพัลส 40 kV ที่ Bandwidth 75 MHz
ภาพที่ 24 การใช้ High Voltage Probe วัดสัญญาณที่มีแรงดันสูง
Current Probe
เมื่อกระแสไฟฟาไหลผานลวดตัวนําจะทําใหเกิดสนามแมเหล็กไฟฟาขึ้นรอบๆตัวนํานั้น
ซึ่ง Current
Probe จะถูกออกแบบใหตรวจจับสนามแมเหล็กไฟฟานั้นและแปลงใหอยูในรูปของแรงดันไฟฟาที่สัมพันธกันกอนจะสงไปที่ออสซิลโลสโคป
ซึ่งสโคปจะสามารถแสดงผลและทําการวิเคราะหรูปสัญญาณกระแสไฟฟาได และเมื่อใชออสซิลโลสโคปวัดคาแรงดันและกระแสไฟฟาพรอมๆ
กันก็จะสามารถดูลักษณะของสัญญาณกําลังไฟฟาไดโดยใชฟงกชั่นทางคณิตศาสตรภายในสโคป
โดยสามารถที่จะทําการวัดสัญญาณของกําลังไฟฟาไดหลายๆรูปแบบประกอบดวย กําลังไฟฟาชั่วขณะ,
กําลังไฟฟาจริง, กําลังไฟฟาที่ปรากฏ และเฟส
ฯลฯ Current Probe โดยทั่วไปจะมี 2
ชนิด คือ AC Current Probe ซึ่งจะใชโพรบชนิด passive
และ AC/DC Current Probe โดยทั่วไปจะเปนชนิด active
ซึ่งโพรบทั้ง 2 ชนิดนั้นจะใชหลักการของหมอแปลงทําการแปลงแรงดันมาจากการตรวจจับกระแสไฟฟาที่เกิดขึ้นรอบๆลวดตัวนํานั้น
การทํางานของหลักการนี้ คือ เมื่อมีกระแสไฟฟาไหลผานลวดตัวนําจะทําใหเกิดสนามแมเหล็กไฟฟาขึ้นรอบๆลวดตัวนํานั้นซึ่งมีขนาดและทิศทางตัดกับการไหลของกระแสไฟฟา
และเมื่อนําขดลวดไปวางไวในสนามแมเหล็กนั้น (ดังภาพที่ 25)
จะทําใหเกิดแรงดันไฟฟาตกครอมขดลวดนั้นๆ ซึ่งจะเปนหลักการทํางานเบื้องตนของ
AC
Current Probe ทั่วๆไป และที่หัวจับของโพรบจะมีลักษณะเปนการใชลวดตัวนําพันรอบๆแทงแมเหล็ก
ทําใหเกิดการแปลงคากระแสไฟฟาใหเปนคาแรงดันที่มีขนาดแปรผันเปนแบบเชิงเสนกับคากระแสไฟฟาที่ไหลผานลวดตัวนํา
คา Bandwidth ของ Current Probe จะขึ้นอยูกับการออกแบบขดลวดของโพรบและปจจัยอื่นๆประกอบกัน
ซึ่งคา Bandwidth จะสามารถมีไดถึง 1 GHz แตอยางไรก็ตามโดยปกติมักจะนิยมใช Current Probe ที่มี
Bandwidth ที่ต่ำกวา 100 MHz เทานั้น
ภาพที่ 25 แรงดันจะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสนามแมเหล็กไฟฟารอบๆลวดตัวนําซึ่งจะมีเฉพาะไฟฟากระแสสลับเทานั้น (AC)
ในกรณีที่ใช Current Probe วัดคากระแสไฟฟาที่มี Bandwidth ของความถี่ต่ำๆ
รวมทั้งไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ดวย ซึ่งไฟฟากระแสตรงจะไมสามารถทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงของสนามแมเหล็กไฟฟาได
ดังนั้นจึงไมทําใหเกิดแรงดันขึ้นที่หมอแปลง รวมทั้งที่ความถี่ต่ำมากจนเขาใกล DC
จึงใช้อุปกรณที่เรียกวา Hall Effect เพิ่มเขามาในการวัดสัญญาณไฟฟากระแสตรง
(DC) ผลที่ไดจะเปน AC/DC Current Probe ที่มี Bandwidth ตั้งแต DC เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงคาความถี่ที่จุด
3 dB ซึ่งโพรบชนิดนี้จะตองการแหลงจายไฟฟ้าในการทําให Hall
Effect ทํางานในการตรวจจับไฟ DC ไดขึ้นอยูกับการออกแบบโพรบวาจะตองใชแหลงจายไฟชนิดใด
และวงจรขยายของ Current Probe อาจจะตองการการรวมสัญญาณและการปรับระดับของสัญญาณ
AC และ DC ดวย เพื่อใชในการแสดงผลรูปสัญญาณที่ออสซิลโลสโคป
ภาพที่ 26 ตัวอยางของ AC Current Probe ที่เปนแบบ split
core ซึ่งการพันลวดตัวนํา
เขาที่หัวโพรบจํานวน n
รอบก็จะเปนการเพิ่มความไวเปน n เท่า
ที่มา : http://www.metrictest.com/images/large_product_images/tek_tcp202.jpg
ภาพที่ 27 การใช้งาน Current Probe ในการวัดกระแส
ภาพที่ 27 การใช้งาน Current Probe ในการวัดกระแส
Logic Probe
ความผิดพลาดในระบบดิจิตอลสามารถเกิดขึ้นไดดวยหลายเหตุผล
ซึ่งลอจิกอนาไลเซอรก็เปนเครื่องมือที่ดีที่จะใชในการระบุและแยกแยะปญหาที่เกิดขึ้น
แตในความเปนจริงแล้วความผิดพลาดของลอจิกมักจะเกิดจากสัญญาณอนาล็อกที่ผสมอยูในสัญญาณดิจิตอล
เชน ความกวางของพัลส์
(jitter), แอมปลิจูดของพัลส(aberrations)
และสัญญาณรบกวนอนาล็อกแบบเปนชวงๆ ซึ่งจะมีคานอยมากเมื่อเทียบกับจํานวนความผิดพลาดของสัญญาณดิจิตอล
ดังนั้นในการวิเคราะหคุณสมบัติของความตอเนื่องของสัญญาณดิจิตอลจึงตองอาศัยออสซิลโลสโคปแตอยางไรก็ตาม บอยครั้งที่ผูออกแบบระบบดิจิตอลตองการดูลักษณะของพัลสขอมูลที่เกิดขึ้นระหวางเงื่อนไขทางลอจิก
ซึ่งความตองการนี้จะตองอาศัยความสามารถของ logic trigger ที่ปกติจะมีในลอจิอนาไลเซอรมากกวาในออสซิลโลสโคป ซึ่ง logic
trigger สามารถที่จะเพิ่มเขาไปในออสซิลโลสโคปทั่วไปไดโดยผานทางโพรบแบบ
word
recognizer trigger ดังแสดงดังภาพที่ 28
ภาพที่ 28 ตัวอย่าง Logic Probe ของ HAMEG HO3508 แบบ 8 channel
ที่มา : http://www.conrad.com/medias/global/ce/1000_1999/1000/1010/1018/
101852_ZB_00_FB.EPS_1000.jpg
101852_ZB_00_FB.EPS_1000.jpg
Optical Probe
กับการเขามาและการแพรหลายของระบบ Fiber-optic
ในการสื่อสารที่มีการเจริญเติบโตอยางรวดเร็วจึงทําใหมีความตองการอุปกรณที่สามารถแสดงผลและวิเคราะหสัญญาณ
Optical ได ซึ่งจะมี Optical system analyzer ที่พัฒนามาเพื่อทําการแกปญหาและวิเคราะหงานทางดานระบบการ
สื่อสารโดยเฉพาะ แตอยางไรก็ตามยังคงมีความตองการที่จะขยายความสามารถของการวัดสัญญาณ
optical ทั่วๆไปและทําการวิเคราะหตลอดชวงเวลาระหวางการพัฒนาและทดสอบอุปกรณทางดาน
optical ซึ่ง Optical Probe ก็สามารถตอบสนองตอความตองการดังกลาวโดยยอมใหมีการแสดงผลรูปสัญญาณ
optical ที่ตัวออสซิลโลสโคปได โดยที่ Optical Probe จะทําการแปลงจากสัญญาณ optical ใหเปนสัญญาณทางไฟฟา
ในดาน optical จะตองเลือกโพรบที่เหมาะสมกันกับ optical
connector และชนิดของ fiber หรือ optical
mode ของอุปกรณที่ตองการวัด สวนทางดานไฟฟานั้นจะตองใชโพรบและสโคปที่มีความสมดุลกันดวย
รูปที่ 29 ตัวอย่างของ Optical Probe
ที่มา :
http://www.tek.com/sites/tek.com/files/imagecache/node_
productseriespage_product_largeimage/media/image/A000_0577-L.jpg
productseriespage_product_largeimage/media/image/A000_0577-L.jpg
รูปที่ 30 การใช้งาน Optical Probe
โพรบชนิดอื่นๆ
นอกเหนือจากโพรบชนิดตางๆที่ไดกลาวมาแลว
ยังมีโพรบชนิดพิเศษและระบบของโพรบอีกมากมายหลายชนิดซึ่งจะประกอบไปดวย :
- Environmental Probe ซึ่งจะเปนโพรบที่ออกแบบใหทํางานชวงอุณหภูมิที่กวางมาก
- Temperature Probe ซึ่งเปนโพรบที่ใชในการวัดอุณหภูมิของอุปกรณและแหลงกําเนิดความรอนอื่นๆ
- Proing
Station และแขนกล ซึ่งจะใชวัดสัญญาณของอุปกรณที่มีรายละเอียดสูง
เชน multi-chip-module , hybrid circuit และ ICs เปนตน
อ้างอิง
- Oscilloscope Probes and Probe Accessories.(2 พฤศจิกายน 2556). AvailableURL : http://cdn.teledynelecroy.com/files/pdf/oscilloscope_probe_catalog.pdf
- โพรบ-จุดเชื่อมต่อเพื่อคุณภาพของการวัดสัญญาณ. (5 พฤศจิกายน 2556). Available URL : http://www.trinergy.co.th/resource/ABC%20of%
20PROBE.pdf
- โพรบ(Probe). (6 พฤศจิกายน 2556). Available URL:http://edltv.vec.go.th/courses/32/10110051.pdf
ผู้เขียน นายสมศักดิ์ ทับทิมใส 55070500444 ห้อง B วิศวกรรมไฟฟ้า
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น